เงินบริจาคของคุณจะนำไปจัดกิจกรรมการสอนดนตรีให้กับเด็กเยาวชนและผู้สูงอายุที่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เกี่ยวกับดนตรี420คน
โครงการดนตรีพลังบวก วงปล่อยแก่
ประกอบไปด้วย ผู้สูงอายุ จาก 6 พื้นที่ ดังต่อไปนี้
โดยมีรูปแบบกิจกรรม คือ
โครงการดนตรีพลังบวก วงเด็กภูมิดี
โรงเรียน | รูปแบบกิจกรรม |
โรงเรียนวัดสุวรรณาราม จังหวัดนครปฐม |
|
โรงเรียนวัดลาดทราย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา |
|
โรงเรียนวัดกุฏิประสิทธิ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา |
|
โรงเรียนวัดพระยอม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา |
|
โรงเรียนบ้านเทอดไทย จังหวัดเชียงราย |
|
โรงเรียนบ้านห้วยอื่น จังหวัดเชียงราย |
|
โรงเรียนอนุบาลยะลา จังหวัดยะลา |
|
ความประทับใจของผู้ที่ได้รับประโยชน์
หลังจากเข้าร่วมโครงการปล่อยแก่ ซึ่งมีการฝึกซ้อมร้องเพลงประสานเสียงต่อเนื่อง สม่ำเสมอทุกวันเสาร์อาทิตย์ ครั้งละสองชั่วโมงเพื่อแสดงผลงานในที่สาธารณะ ผลการประเมินสุขภาพจิตโดยรวมด้วยแบบสัมภาษณ์ดัชนีชี้วัดสุขภาพจิตคนไทยฉบับสั้น หรือ TMHI-15 ของผู้เข้าร่วมโครงการทุกคนดีขึ้น ผู้เข้าร่วมที่เคยมีสุขภาวะทางจิตอยู่ในระดับคนทั่วไปได้คะแนนประเมินเพิ่มเป็นผู้ที่มีสุขภาวะทางจิตดีกว่าคนทั่วไป โดยเห็นผลต่างที่ชัดเจนขึ้นในด้านอารมณ์ด้านบวกที่เพิ่มขึ้น อารมณ์ด้านลบที่ลดลง รวมถึงความสัมพันธ์กับครอบครัวและคนรอบข้างที่ดีขึ้น
จากการสัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมโครงการ การเข้าร่วมกิจกรรมทางดนตรีโดยใช้การร้องเพลงประสานเสียงทำให้มีการพบปะพูดคุยกับบุคคลอื่นมากขึ้น ทำกิจกรรมร่วมกับบุคคลอื่นมากขึ้น ทำให้พัฒนาในเรื่องความสัมพันธ์กับบุคคลอื่น รวมทั้งเติมเต็มในบางส่วนที่ผู้เข้าร่วมโครงการขาดไป ทำให้มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้นและรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่ามากขึ้น รวมทั้งการร้องเพลงยังใช้เป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการคลายความเครียดและลดความกังวลได้ดี ผู้เข้าร่วมโครงการจึงมีความรู้สึกวิตกกังวลลดลงแม้จะยังเผชิญปัญหาในชีวิตอยู่ก็ตาม
สุขภาพจิตก่อนเข้าร่วมโครงการ | สุขภาพจิตหลังเข้าร่วมโครงการ |
ครูป้อม ครูวัยเกษียณที่อาศัยอยู่ในบ้านกับภรรยาและลูกสาวสองคน ได้ทราบว่าตนเองเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากเมื่อหนึ่งปีก่อน ตอนแรกที่ทราบรู้สึกไม่สบายใจและพยายามรักษามาตลอดด้วยการผ่าตัดและฉีดยา จนปัจจุบันผลเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ อย่างไรก็ตามเมื่อแพทย์แจ้งว่าสิ้นสุดการรักษา ครูป้อมมีความกังวลอยู่บ้างเรื่องผลเลือดที่จะตรวจในเดือนต่อไปว่ามะเร็งจะกลับคืนมาไหม เพราะน้องชายของตนเคยรักษามะเร็งตับจนดีขึ้นมากแล้ว อยู่ ๆ อาการกลับแย่ลงและเสียชีวิต อย่างไรก็ตามครูป้อมบอกว่าตนเองสามารถจัดการกับความคิดความกังวลต่างๆ ได้เนื่องจากมีดนตรีช่วยคลายเครียด ด้วยเดิมเป็นคนรักในเสียงดนตรีอยู่แล้ว และยังมีที่พึ่งทางใจคือพระเจ้า ทำให้เชื่อว่าตนเองจะสามารถผ่านพ้นปัญหาไปได้ และยังใช้เวลาที่ว่างหลังเกษียณทุ่มเทกับการช่วยเหลือคนอื่น เพราะคิดว่าทำให้ตนเองมีคุณค่า | ครูป้อมเล่าว่าการได้มาเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ สิ่งที่ครูป้อมได้คือการพัฒนาทักษะการร้องเพลง เดิมครูป้อมเข้าร่วมกิจกรรมทางดนตรีอยู่แล้วสม่ำเสมอ แต่การเข้าร่วมครั้งนี้ทำให้ตนเองได้พัฒนาทักษะและได้แสดงความสามารถมากขึ้นทำให้รู้สึกมั่นใจในตนเองมากขึ้น รวมทั้งการเข้าร่วมกิจกรรมทำให้ได้พบกับเพื่อนเก่า จึงทำให้มีความสุขมากขึ้น ส่วนเรื่องความวิตกกังวล ครูป้อมยังมีความกังวลอยู่เรื่องที่ตนเองป่วยเป็นโรคมะเร็งและเรื่องอนาคตที่ไม่แน่นอน แต่การร้องเพลงช่วยทำให้สุขภาพจิตดีขึ้น ซึ่งครูป้อมใช้คำว่าการร้องเพลงนั้นเป็นชีวิตจิตใจ รวมถึงครูป้อมยังมีการดูแลสุขภาพจิตด้วยวิธีอื่นเช่นการออกกำลังกาย การรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ คะแนนประเมินสุขภาพจิตของครูป้อมจึงพัฒนาขึ้นจากที่อยู่ระดับคนทั่วไป เป็นอยู่ในระดับดีกว่าคนทั่วไป |
ป้าทอง หญิงสูงวัยที่ตัดสินใจเกษียณก่อนถึงวัยถึง 8 ปีเพื่อออกมารับใช้พระเจ้าด้วยการช่วยเหลือผู้อื่น ป้าทองช่วยดูแลผู้ป่วยและคนที่มีความทุกข์อยู่เสมอ โดยมีความเชื่อในพระเจ้านำทาง ทำให้ทุกครั้งเวลาที่มีปัญหาต่างๆ เข้ามาในชีวิต ป้าทองจะเปิดพระคัมภีร์และไปโบสถ์ และเชื่อมั่นว่าไม่ว่าจะมีปัญหาอะไรเข้ามาตนเองจะสามารถจัดการได้ ป้าทองยังรักการร้องเพลงแม้ว่าจะคิดว่าตนเองร้องเพลงไม่ได้เก่ง ไม่ได้เรียนมา แต่มีความตั้งใจก็สามารถทำได้ ปัจจุบันป้าทองอาศัยอยู่กับหลานสองคน โดยลูกสาวและลูกเขยอาศัยอยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง | ป้าทองได้พูดถึงการเข้าร่วมโครงการปล่อยแก่ว่านับเป็นหนึ่งในชีวิตประจำวันของป้าทองแล้ว เดิมทีป้าทองชอบเข้าร่วมกิจกรรมและช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ การเข้าร่วมการร้องเพลงนี้จึงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ป้าทองได้ทำ และมีความสุข ผลการประเมินสุขภาพจิตของป้าทองยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าคนทั่วไป |
ป้ากช หญิงวัย 72 ปีที่ก่อนหน้าที่ยังคงทำน้ำจิ้มขายด้วยตนเองและมีความภาคภูมิใจในส่วนนี้มาก จนกระทั่งปัญหาสุขภาพเรื่องกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อทำให้ต้องหยุดทำงานในที่สุดเมื่อปีก่อน ทำให้ป้ากชมีความรู้สึกเสียดายแต่ตนเองได้วางแผนชีวิตหลังจากนี้ไว้แล้วว่าคงใช้เวลาที่เหลือพักผ่อน และอาจทำน้ำจิ้มแบ่งปันให้ญาติพี่น้องเป็นบางครั้ง ไม่ถึงขั้นทำเป็นอาชีพเหมือนเมื่อก่อน และใช้เวลาว่างช่วยเหลือดูแลผู้อื่นในชุมชนอยู่เสมอ ป้ากชเชื่อว่าตนเองเป็นคนสู้ชีวิต ผ่านความยากลำบากมามากเพราะเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุไม่ถึงสิบขวบ ต้องทำงานส่งน้องเรียนหนังสือ รวมทั้งมีที่พึ่งทางใจคือพระเจ้าทำให้เชื่อว่าตนเองจะสามารถจัดการปัญหาหรือความเครียดที่เกิดขึ้นได้ | ป้ากช บอกว่าตนเองอารมณ์ดีขึ้น มีความกังวลเรื่องอาการเจ็บป่วยคือปวดหลังลดลงหลังจากเข้าร่วมโครงการปล่อยแก่ ทำให้คนรอบข้างสะท้อนว่าป้ากชสุขภาพจิตดีขึ้น เดิมป้ากชมีวิธีคลายความกังวลที่ใช้อยู่เป็นประจำคือการอ่านพระคัมภีร์หรืออธิษฐานกับพระเจ้า ในตอนนี้มีวิธีเพิ่มอีกหนึ่งอย่างคือการร้องเพลง ป้ากชมักจะฝึกร้องเพลงในเวลาว่าง โดยเฉพาะเวลาก่อนเข้านอน ทำให้นอนหลับง่ายมากขึ้น |
ป้าศรีทอง น้องสาวของป้ากช มีความชื่นชมในตัวพี่สาวอย่างมาก เดิมทำงานในโรงพยาบาลและออกมาทำขนมขายเพราะมีความชื่นชอบในด้านนี้ ปัจจุบันส่งต่อกิจการให้ลูกชายทำแล้ว ส่วนตนเองใช้เวลาว่างในการพัฒนาสูตรขนม ตัวป้าศรีทองนั้นมีความต้องการจะช่วยเหลือผู้อื่นและเต็มใจที่จะทำ แต่ในตอนนี้ยังไม่มีโอกาสเนื่องจากกลุ่มในชุมชนที่ตนเองอยู่ตอนนี้ไม่ค่อยมีกิจกรรมให้ทำ ทำให้มีความเบื่อหน่ายอยู่บ้าง แต่เชื่อว่าตนเองสามารถจัดการปัญหาและความเครียดต่างๆ ได้เพราะเชื่อมั่นในพระเจ้า | ป้าศรีทองรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่ามากขึ้นหลังจากเข้าร่วมโครงการนี้ เพราะได้พบปะผู้คนมากขึ้น ทำให้ได้รับฟังปัญหาของบุคคลเหล่านั้นและได้เป็นที่ปรึกษาหรือให้กำลังใจ จึงรู้สึกภูมิใจในตนเองที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น รวมทั้งจากเดิมป้าศรีทองมักไม่ค่อยได้เข้าร่วมกิจกรรมกับผู้อื่น การได้ออกมาร้องเพลงประสานเสียงกับทุกคนทำให้อารมณ์ดีขึ้น และพัฒนาไปถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง โดยเฉพาะคนในครอบครัว ซึ่งลูกชายของป้าศรีทองบอกว่าป้าศรีทองบ่นน้อยลง และกังวลลดลง เนื่องจากตอนนี้ป้าศรีทองเพิ่งทราบว่าตนเองเป็นต้อหิน แต่ไม่ได้กังวลมากเพราะมีการพึ่งพิงศาสนาและการร้องเพลงที่ช่วยลดความวิตกกังวลอยู่ |
ครูกุ้ง ครูกุ้งทราบว่าตนเองเป็นมะเร็งลำไส้เมื่อไม่นานมานี้ ทำให้รู้สึกตกใจและกังวลอย่างมาก ทำให้นอนไม่หลับอยู่ถึงหนึ่งคืนเต็มๆ หลังจากนั้นพยายามทำใจและบอกตัวเองให้สู้ต่อไป แม้จะมีบางครั้งที่ยังรู้สึกกังวลและคิดมาก เพราะครูกุ้งเป็นคนดูแลครอบครัว จึงกลัวว่าหากวันหนึ่งตนเองเป็นอะไรไป ครอบครัวจะอยู่อย่างไร ทำให้มักพูดกับคนในครอบครัวเสมอว่าหากตนเองเป็นอะไรไปขอให้ทุกคนดูแลตนเองให้ได้ ครูกุ้งมีความตั้งใจที่จะใช้การร้องเพลงเพื่อช่วยบรรเทาความทุกข์ละสร้างความสุขใจ และเต็มใจพร้อมที่จะช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ | ครูกุ้งบอกว่าตั้งแต่ได้เข้าร่วมโครงการปล่อยแก่มา ครูกุ้งรอคอยการมาร่วมฝึกซ้อมร้องเพลงอยู่ตลอด เดิมทีครูกุ้งไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมทางดนตรี การได้มาร้องเพลงประสานเสียงกับผู้อื่นทำให้อารมณ์ดีขึ้น กังวลลดลง เพราะเวลาร้องเพลงจะไม่คิดมาก แม้จะมีความกังวลเรื่องความเจ็บป่วยอยู่บ้างแต่ในตอนนี้การร้องเพลงนับเป็นวิธีคลายเครียดอย่างหนึ่งของครูกุ้งแล้ว และที่สำคัญคือได้มีอะไรทำมากขึ้น เช่นเวลามาฝึกซ้อมร้องเพลง ครูกุ้งมีหน้าที่ช่วยจัดแถว ช่วยเหลือเรื่องการจัดการในกลุ่ม ทำให้เกิดความมั่นใจในตนเอง รู้สึกตนเองมีคุณค่ามากขึ้น เนื่องจากได้ความรู้สึกเป็นผู้นำกลับมาจากเดิมที่สูญเสียไปเมื่อตอนทราบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็ง รวมทั้งคนในครอบครัวยังสะท้อนเรื่องอารมณ์และความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นอีกด้วย คะแนนประเมินสุขภาพจิตของครุกุ้งจึงเพิ่มขึ้นจากระดับคนทั่วไปเป็นดีกว่าคนทั่วไป |
วิดีโอกิจกรรม