cover_1

สร้างโรงสีชุมชนเพื่อข้าวอินทรีย์พันธุ์ท้องถิ่น

เด็กและเยาวชน
ผู้สูงอายุ
อื่นๆ

เงินบริจาคของคุณจะนำไปสร้างโรงสีข้าวอินทรีย์ขนาดย่อมให้กับหมู่บ้านหนองเหล็กตาช้าง1โรง

project succeeded
โครงการสำเร็จแล้ว
22 มิ.ย. 2558

อัปเดตโครงการความคืบหน้าล่าสุดของโครงการโรงสีชุมชน

ช่วงเวลาที่ทำกิจกรรม

22 มิ.ย. 2558 - 22 มิ.ย. 2558

ในด้านการดำเนินงาน

ได้ดำเนินการสร้างยุ้งข้าวและโรงสีเสร็จเรียบร้อยเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว จากนั้นจึงเริ่มจัดหาซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ เมื่อถึงฤดูกาลทำนา เราได้ประกาศให้ชาวนาในพื้นที่ที่สนใจขอยืมเมล็ดพันธุ์ข้าวลูกผสมพื้นเมืองไปปลูกและนำเมล็ดพันธุ์มาคืนตามจำนวนที่ยืมเมื่อได้ผลผลิต และเราจะรับซื้อผลผลิตที่เหลือ โดยมีข้อตกลงว่าต้องปลูกแบบอินทรีย์เท่านั้น ซึ่งเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ให้ยืมมี 2 พันธุ์ คือ พันธุ์มะลินิลสุรินทร์ และพันธุ์มะลิโกเมนสุรินทร์ ในต้นฤดูกาลทำนาปีที่แล้วมีผู้สนใจมาสมัคร 3 ราย ได้นำไปทดลองปลูกทั้ง 2 พันธุ์ 

หลังจากที่เราทำตกกล้าเพื่อเตรียมทำนาดำ แล้วเหลือต้นกล้าข้าวจำนวนมาก จึงประกาศแจกต้นกล้าฟรีอีกรอบ คราวนี้มีผู้สนใจนำไปปลูกเพิ่มเติมอีก 5 ราย โดยระหว่างช่วงเพาะปลูกมีชาวบ้านในหมู่บ้านให้ความสนใจและแวะเวียนเข้ามาดูแปลงนา และพูดคุยเรื่องการปลูกข้าวอินทรีย์กับเราเป็นระยะ

เมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็รับซื้อข้าวอินทรีย์พันธุ์พื้นเมือง โดยไม่ได้หักค่าความชื้นหรือข้าวปนแต่อย่างใด โดยเราเปิดโอกาสให้ชาวบ้านในชุมชนสามารถนำข้าวที่ปลูกแบบอินทรีย์เท่านั้นมาสีที่โรงสีได้โดยไม่ต้องเสียเงิน แต่หักเป็นข้าวสารเพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายในการจัดการ เช่น ค่าไฟฟ้าและค่าเสื่อมของลูกยางเครื่องสีข้าว

ในด้านการใช้จ่ายงบประมาณ

เนื่องจากราคาวัสดุอุปกรณ์ที่เขียนในโครงการนั้นคลาดเคลื่อนจากราคาจริงหลังดำเนินงานมาก โดยเราได้รับเงินบริจาครวมกันประมาณ 59,000 บาท จากโครงการเทใจ

ซึ่งเราได้นำไปซื้ออุปกรณ์การสีข้าว 2 เครื่อง ได้แก่
         - เครื่องสีข้าวกล้องขนาดย่อม 45,000 บาท
         - เครื่องทำความสะอาดข้าวกล้องขนาดย่อมที่ต้องใช้ประกอบกับเครื่องสีข้าวกล้อง 18,000 บาท

รวมเป็น 63,000 บาท เราจึงออกเงินส่วนตัวเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง จากเดิมที่เคยตั้งใจว่าจะใช้เงินเพียง 20,000 บาท สำหรับเครื่องสีข้าว แต่มาทราบภายหลังว่าราคานั้นเป็นเครื่องสีขนาดเล็กสำหรับครัวเรือน ที่สีได้แค่เพียงพอกับการหุงข้าวสารเพียง 1 หม้อต่อครั้ง

ส่วนเครื่องสีข้าวที่เราดำเนินการซื้อมานั้น เมื่อนำมาใช้จริง มีกำลังผลิตต่อวันประมาณ 150 กิโลกรัมต่อวัน ต่างจากที่เขียนในใบโฆษณาว่าได้ 150 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ในขณะที่เครื่องสีข้าวสำหรับชุมชนที่คิดว่าจะใช้งานได้จริง ราคาเริ่มต้นที่ 200,000 กว่าบาท ถึงจะมีกำลังผลิตวันละ 800-1,000 กิโลกรัม เพียงพอสำหรับโรงสีขนาดชุมชนจริงๆ

นอกจากนี้ เรายังใช้เงินส่วนตัวอีกก้อนเพื่อนำมาซื้อยุ้งข้าวมือสอง นำมาประกอบใหม่ และต่อเติมให้เป็นยุ้งข้าวและโรงสีชุมชนขนาดย่อม ติดตั้งน้ำไฟ รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ อีกประมาณ 100,000 บาท จากเดิมที่เคยตั้งใจว่าจะใช้เพียง  40,000 บาท สำหรับการทำยุ้งข้าว

สรุป : งบประมาณบานปลายและยังน้อยเกินกว่าจะสร้างโรงสีชุมชนขนาดย่อมได้จริง แต่ในด้านการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักในการปลูกข้าวอินทรีย์ เกิดกระแส เกิดการเรียนรู้นั้นผ่านไปได้ด้วยดี

12 มี.ค. 2557

อัปเดตโครงการความประทับใจจากเจ้าของโครงการสร้างโรงสีชุมชนเพื่อข้าวอินทรีย์พันธุ์ท้องถิ่น

ช่วงเวลาที่ทำกิจกรรม

12 มี.ค. 2557 - 12 มี.ค. 2557

โครงการสร้างโรงสีชุมชนเพื่อข้าวอินทรีย์พันธุ์ท้องถิ่น เป็นอีกโครงการหนึ่งที่ชาวเทใจได้ระดมเงินบริจาคสำเร็จภายในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งมีเป้าหมายการระดมทุนที่ 60,000 บาท แต่สามารถระดมทุนได้จำนวนเงิน 65,108 บาท เจ้าของโครงการคือนางสาวดวงแก้ว ตั้งใจตรง และ นายเกรียงไกร บุญเหลือ โดยจะดำเนินโครงการภายในพื้นที่ บ้านหนองเหล็กตาช้าง หมู่ที่ 16 ต.เมืองลีง อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ โดยมีรายละเอียดดังนี้

  • จัดซื้อเครื่องสีข้าวกล้องอินทรีย์ขนาดย่อม
  • จัดซื้อยุ้งข้าวมือสองขนาดย่อม และติดตั้งในชุมชน
  • ชักชวนกลุ่มเกษตรกรที่ทำนาแบบใช้สารเคมี มาศึกษาดูงานในพื้นที่ตัวอย่าง และจัดอบรมความรู้เพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมาเป็นเกษตรอินทรีย์
  • ส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกข้าวอินทรีย์พันธุ์ท้องถิ่นมากขึ้น โดยให้สมาชิกเกษตรอินทรีย์ยืมเมล็ดพันธุ์ และรับซื้อผลผลิตในราคายุติธรรรม
  • เปิดโอกาสให้สมาชิกเกษตรอินทรีย์ในชุมชน สามารถใช้บริการเครื่องสีข้าวในราคายุติธรรม
พวกเขามีข้อความฝากถึงชาวเทใจทุกคน ที่ร่วมสนับสนุนโครงการสร้างโรงสีชุมชนเพื่อข้าวอินทรีย์พันธุ์ท้องถิ่น
"อยากขอขอบคุณทางโครงการเทใจ ที่เปิดโอกาสให้เราได้นำเสนอโครงการดีๆต่อสาธารณะ และขอขอบคุณผู้สนับสนุนทุกๆท่านที่ให้ความสนใจในปัญหาของชาวนาไทย และร่วมสนับสนุนโครงการให้เกิดขึ้นจริง"
"เชื่อว่าจุดเริ่มต้นของโครงการนี้จะช่วยต่อยอดความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพที่แข็งแรง และรายได้ที่ยั่งยืน ของชาวนาไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และผู้บริโภคมีทางเลือกในการเข้าถึงอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ"
 
นางสาวดวงแก้ว ตั้งใจตรง และ นายเกรียงไกร บุญเหลือ