ในด้านการดำเนินงาน
ได้ดำเนินการสร้างยุ้งข้าวและโรงสีเสร็จเรียบร้อยเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว จากนั้นจึงเริ่มจัดหาซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ เมื่อถึงฤดูกาลทำนา เราได้ประกาศให้ชาวนาในพื้นที่ที่สนใจขอยืมเมล็ดพันธุ์ข้าวลูกผสมพื้นเมืองไปปลูกและนำเมล็ดพันธุ์มาคืนตามจำนวนที่ยืมเมื่อได้ผลผลิต และเราจะรับซื้อผลผลิตที่เหลือ โดยมีข้อตกลงว่าต้องปลูกแบบอินทรีย์เท่านั้น ซึ่งเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ให้ยืมมี 2 พันธุ์ คือ พันธุ์มะลินิลสุรินทร์ และพันธุ์มะลิโกเมนสุรินทร์ ในต้นฤดูกาลทำนาปีที่แล้วมีผู้สนใจมาสมัคร 3 ราย ได้นำไปทดลองปลูกทั้ง 2 พันธุ์
หลังจากที่เราทำตกกล้าเพื่อเตรียมทำนาดำ แล้วเหลือต้นกล้าข้าวจำนวนมาก จึงประกาศแจกต้นกล้าฟรีอีกรอบ คราวนี้มีผู้สนใจนำไปปลูกเพิ่มเติมอีก 5 ราย โดยระหว่างช่วงเพาะปลูกมีชาวบ้านในหมู่บ้านให้ความสนใจและแวะเวียนเข้ามาดูแปลงนา และพูดคุยเรื่องการปลูกข้าวอินทรีย์กับเราเป็นระยะ
เมื่อถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็รับซื้อข้าวอินทรีย์พันธุ์พื้นเมือง โดยไม่ได้หักค่าความชื้นหรือข้าวปนแต่อย่างใด โดยเราเปิดโอกาสให้ชาวบ้านในชุมชนสามารถนำข้าวที่ปลูกแบบอินทรีย์เท่านั้นมาสีที่โรงสีได้โดยไม่ต้องเสียเงิน แต่หักเป็นข้าวสารเพื่อทดแทนค่าใช้จ่ายในการจัดการ เช่น ค่าไฟฟ้าและค่าเสื่อมของลูกยางเครื่องสีข้าว
ในด้านการใช้จ่ายงบประมาณ
เนื่องจากราคาวัสดุอุปกรณ์ที่เขียนในโครงการนั้นคลาดเคลื่อนจากราคาจริงหลังดำเนินงานมาก โดยเราได้รับเงินบริจาครวมกันประมาณ 59,000 บาท จากโครงการเทใจ
ซึ่งเราได้นำไปซื้ออุปกรณ์การสีข้าว 2 เครื่อง ได้แก่
- เครื่องสีข้าวกล้องขนาดย่อม 45,000 บาท
- เครื่องทำความสะอาดข้าวกล้องขนาดย่อมที่ต้องใช้ประกอบกับเครื่องสีข้าวกล้อง 18,000 บาท
รวมเป็น 63,000 บาท เราจึงออกเงินส่วนตัวเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่ง จากเดิมที่เคยตั้งใจว่าจะใช้เงินเพียง 20,000 บาท สำหรับเครื่องสีข้าว แต่มาทราบภายหลังว่าราคานั้นเป็นเครื่องสีขนาดเล็กสำหรับครัวเรือน ที่สีได้แค่เพียงพอกับการหุงข้าวสารเพียง 1 หม้อต่อครั้ง
ส่วนเครื่องสีข้าวที่เราดำเนินการซื้อมานั้น เมื่อนำมาใช้จริง มีกำลังผลิตต่อวันประมาณ 150 กิโลกรัมต่อวัน ต่างจากที่เขียนในใบโฆษณาว่าได้ 150 กิโลกรัมต่อชั่วโมง ในขณะที่เครื่องสีข้าวสำหรับชุมชนที่คิดว่าจะใช้งานได้จริง ราคาเริ่มต้นที่ 200,000 กว่าบาท ถึงจะมีกำลังผลิตวันละ 800-1,000 กิโลกรัม เพียงพอสำหรับโรงสีขนาดชุมชนจริงๆ
นอกจากนี้ เรายังใช้เงินส่วนตัวอีกก้อนเพื่อนำมาซื้อยุ้งข้าวมือสอง นำมาประกอบใหม่ และต่อเติมให้เป็นยุ้งข้าวและโรงสีชุมชนขนาดย่อม ติดตั้งน้ำไฟ รวมทั้งอุปกรณ์ต่างๆ อีกประมาณ 100,000 บาท จากเดิมที่เคยตั้งใจว่าจะใช้เพียง 40,000 บาท สำหรับการทำยุ้งข้าว
สรุป : งบประมาณบานปลายและยังน้อยเกินกว่าจะสร้างโรงสีชุมชนขนาดย่อมได้จริง แต่ในด้านการกระตุ้นให้เกิดความตระหนักในการปลูกข้าวอินทรีย์ เกิดกระแส เกิดการเรียนรู้นั้นผ่านไปได้ด้วยดี