cover_1
โครงการใหม่

อ่านยิ้ม อิ่มสมอง น้องอ่านฟรี 2569

เด็กและเยาวชน

เงินบริจาคของคุณจะนำไปซื้อและกระจาย “หนังสือนิทานภาพคุณภาพ” ไปยังพื้นที่ขาดแคลนให้กับโรงเรียนระดับอนุบาล - ประถมศึกษาตอนต้น ทั่วประเทศไทย จำนวน250ชุด

ระยะเวลาระดมทุน

17 ธ.ค. 2568 - 30 เม.ย. 2569

พื้นที่ดำเนินโครงการ

ทั่วประเทศ

เป้าหมาย SDGs

QUALITY EDUCATION

กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับประโยชน์จากโครงการ

สถานศึกษา
500แห่ง

การให้หนังสือ คือการมอบ “โลกอีกใบ” ให้เด็กคนหนึ่งได้เลือกสำรวจด้วยตัวเอง

ไม่ว่าโลกที่เขาอยู่จะเป็นอย่างไร แต่การมอบโอกาสในการเข้าถึงหนังสือที่กระตุ้นความคิดและเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ตั้งคำถาม และค้นพบคำตอบและความหมายของสิ่งต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง จะทำให้เขามองโลกอย่างมีความหมาย

หนังสือภาพที่เปิดพื้นที่ให้เด็กได้ตีความเรื่องราวด้วยตนเอง จึงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่แค่เพื่อฝึกภาษา แต่เพื่อฝึกการมองโลกอย่างมีความหมาย โครงการนี้จึงถือกำเนิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่า การอ่านไม่ใช่การรับสาร แต่คือการเดินทางภายในของเด็กแต่ละคน

สำนักพิมพ์สานอักษรดำเนินงานโดยยึดถือแนวคิดว่า “เด็กทุกคนมีศักยภาพในการคิด วิเคราะห์ และเข้าใจโลก จากประสบการณ์ของตนเอง” หนังสือภาพที่เราคัดสรรและจัดทำ จึงไม่ได้มีไว้เพื่อบอกคำตอบ หากแต่เพื่อชวนให้เด็กสร้างความหมาย และเห็นคุณค่าของการเรียนรู้ที่เริ่มจากภายในตัวเอง

“อ่านยิ้ม อิ่มสมอง น้องอ่านฟรี” จึงไม่ใช่เพียงการมอบหนังสือ แต่คือการมอบโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง และสร้างรากฐานของการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านหนังสือ

เงินบริจาคในโครงการนี้ จะนำไปซื้อหนังสือนิทานคุณภาพดี รวมกับหนังสือที่มูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณได้ซื้อจากสำนักพิมพ์สานอักษร เพื่อเป็นสารตั้งต้นให้โครงการได้เผยแพร่หนังสือดีให้ได้กว้างขวางที่สุด 

 

ปัญหาสังคม

การให้หนังสือ คือการมอบ “โลกอีกใบ” ให้เด็กคนหนึ่งได้เลือกสำรวจด้วยตัวเอง 

ไม่ว่าโลกที่เขาอยู่จะเป็นอย่างไร แต่การมอบโอกาสในการเข้าถึงหนังสือที่กระตุ้นความคิดและเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ตั้งคำถาม ค้นพบคำตอบได้ด้วยตัวเอง และจะทำให้เขามองโลกอย่างมีความหมาย 

สำนักพิมพ์สานอักษร คือ สำนักพิมพ์ที่ใช้พลังของ "หนังสือภาพ" หรือ "Picture Book" เพื่อส่งมอบสิ่งนั้นให้ถึงมือเด็กๆ เราตั้งใจผลิตหนังสือภาพที่เปิดพื้นที่ให้เด็กได้ตีความเรื่องราวด้วยตนเอง ไม่ใช่เพียงแค่เพื่อฝึกการอ่านหรือภาษาเท่านั้น แต่เพื่อฝึกการมองโลก ฝึกคิด และตีความ ภายใต้ความเชื่อว่า “เด็กทุกคนมีศักยภาพในการคิด วิเคราะห์ และเข้าใจโลก จากประสบการณ์ของตนเอง” 

โครงการ อ่านยิ้ม อิ่มสมอง น้องอ่านฟรี ถือกำเนิดขึ้นจากความเชื่อที่ว่า การอ่านไม่ใช่การรับสาร แต่คือการเดินทางภายในของเด็กแต่ละคน หนังสือภาพที่เราคัดสรรและจัดทำ จึงไม่ได้มีไว้เพื่อบอกคำตอบ หากแต่เพื่อชวนให้เด็กสร้างความหมาย และเห็นคุณค่าของการเรียนรู้ที่เริ่มจากภายในตัวเอง โครงการนี้ จึงไม่ใช่เพียงการมอบหนังสือนิทานให้กับเด็ก แต่คือการมอบโอกาสให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง และสร้างรากฐานของการเป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านหนังสือ 

หนังสือนิทานส่วนหนึ่งจะส่งไปยังโรงเรียนที่ขาดแคลนหรือมีทุนทรัพย์น้อย ภายใต้เครือข่ายของมูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ และการดำเนินงานของ กองทุนเพื่อความเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) จำนวน อย่างน้อย 200 โรงเรียน โดยมีมูลค่าหนังสือในราคาทุนชุดละ 2,500 บาท 

ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “การให้” ที่มอบโอกาสการคิด การตีความ ผ่านสื่อที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด เรียนรู้ง่ายที่สุด และมีประสิทธิภาพที่สุด ร่วมกับมูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ สำนักพิมพ์สานอักษร  และกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างพื้นที่การเรียนรู้ตลอดชีวิตผ่านหนังสือนิทานไปด้วยกัน

..........
ความเป็นมาของโครงการ

ในขณะที่เด็กทั่วโลกได้โตมากับหนังสือภาพที่ชวนให้คิดและตีความ เด็กไทยจำนวนมากยังเข้าไม่ถึงสื่อที่มีความสำคัญต่อกระบวนการคิดตั้งแต่ในวัยเริ่มต้นเช่นนี้ เพราะระบบการศึกษายังมองมันเป็นแค่ “สื่อเสริม” ไม่ใช่ “หน้าต่างแห่งการเรียนรู้” โครงการ อ่านยิ้ม อิ่มสมอง น้องอ่านฟรี โดยสำนักพิมพ์สานอักษร จึงอยากชวนทุกคนร่วมส่งหน้าต่างแห่งการเรียนรู้นี้ไปถึงมือเด็กทั่วประเทศไทย เพื่อให้พวกเขาได้ เริ่มต้นชีวิตด้วยจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ และทักษะที่จะพาพวกเขาอ่านโลกกว้างด้วยตนเอง

หนังสือภาพสำหรับเด็กมิได้เป็นเพียงสื่อที่ใช้สอนภาษา หากแต่เป็นเครื่องมือสำคัญที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ฝึกกระบวนการคิด รู้สึก และตีความด้วยตนเอง หนังสือประเภทนี้มีลักษณะเฉพาะที่ผสมผสานระหว่าง "ศิลปะในภาพ" และ "ศิลปะในถ้อยคำ" โดยไม่เน้นการสื่อสารแบบตรงไปตรงมา หากแต่ทิ้งพื้นที่ให้ผู้อ่าน โดยเฉพาะเด็กได้สร้างความหมายของเรื่องราวด้วยประสบการณ์และกรอบความเข้าใจของตนเอง 

อย่างไรก็ตาม หนังสือภาพประเภทนี้ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในประเทศไทย และยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นระบบ ทั้งในระดับการผลิต การเผยแพร่ และการใช้ในพื้นที่การเรียนรู้ต่างๆ ทำให้หนังสือภาพที่เปิดพื้นที่ให้เด็กได้ตีความด้วยตนเองกลายเป็นของหายากโดยเฉพาะในบริบทของโรงเรียนหรือชุมชนที่ห่างไกล

ในระบบการศึกษาไทยโดยทั่วไป หนังสือยังถูกใช้ในลักษณะ "เครื่องมือในการสอนให้เด็กอ่านออก" โดยมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การเร่งรัดทักษะพื้นฐานทางภาษา เช่น การสะกดคำ อ่านคล่อง หรือการจับใจความแบบพื้นฐาน ส่งผลให้การเรียนรู้ภาษากลายเป็นกระบวนการจำมากกว่าการเข้าใจ ทั้งที่งานวิจัยด้านภาษาศาสตร์ และจิตวิทยาการเรียนรู้ยืนยันว่าวิธีการที่เชื่อมโยงภาษาเข้ากับประสบการณ์ ความรู้สึก และการตีความของผู้เรียน จะช่วยพัฒนา "ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง" (deep comprehension) และส่งเสริมทักษะคิดวิเคราะห์ได้อย่างยั่งยืน

นอกจากนี้เด็กจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางภาษา เช่น พื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ยังเผชิญอุปสรรคจากการเรียนรู้ภาษาไทยที่ไม่สอดคล้องกับบริบททางวัฒนธรรมของตนเอง เมื่อการสอนภาษาไทยถูกแยกออกจากเรื่องราวหรือความหมายที่มีความสัมพันธ์กับชีวิตของพวกเขาโดยตรง ความเข้าใจและแรงจูงใจในการอ่านจึงลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

การตีความโลกด้วยตัวเอง: พื้นฐานของการเป็นเจ้าของการเรียนรู้

การเรียนรู้ที่แท้จริงไม่ได้เริ่มจากการท่องจำหรือการทำตามคำสั่ง หากแต่เริ่มจากการที่ผู้เรียนสามารถตั้งคำถาม ตีความ และเชื่อมโยงสิ่งที่เรียนรู้เข้ากับประสบการณ์ของตนเองได้ การตีความ (interpretation) จึงไม่ใช่เพียงทักษะทางภาษา แต่คือกระบวนการทางปัญญาที่สะท้อนถึงความเป็น "เจ้าของการเรียนรู้" (ownership learning) อย่างลึกซึ่ง 

เด็กที่มีโอกาสได้ตีความ ไม่ว่าจะผ่านเรื่องเล่าหรืองานศิลปะในหนังสือภาพ กำลังฝึกกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์ โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว พวกเขากำลังเรียนรู้ว่า ความหมายไม่จำเป็นต้องถูกป้อนมาจากผู้ใหญ่เสมอไป แต่สามารถสร้างขึ้นจากกระบวนการและความเข้าใจภายในตัวเอง โดยใช้ประสบการณ์ ความรู้สึก และบริบทเฉพาะตัวเป็นตัวกำหนด เมื่อเด็กได้รับพื้นที่ในการตีความ เข้าจึงเห็นว่าตนเอง "มีที่มีทาง และมีเสียง" ที่จะแสดงออกและสร้างความหมายต่อโลกใบนี้

มองผ่าน Bologna: งานเทศกาลหนังสือภาพในฐานะเครื่องมือพัฒนามนุษย์

เมื่อเดือนเมษายน 2568 สำนักพิมพ์สานอักษร ได้รับเชิญจาก Bologna Children Book Fair ในฐานะตัวแทนสำนักพิมพ์จากประเทศไทยให้ทางไปร่วมแสดงงานที่ประเทศอิตาลี ซึ่งในงานนี้ถือได้ว่าเป็นมหกรรมหนังสือภาพสำหรับเด็กที่ใหญ่ที่สุดในโลก การเดินทางครั้งนี้เปิดโลกทัศน์ให้เราได้เห็นมากกว่าความหลากหลายของหนังสือ หากแต่สะท้อนถึงวิธีคิดของสังคมที่ให้ "ศิลปะและจินตนาการ" เป็นจุดตั้งต้นของการพัฒนาเด็กอย่างลึกซึ้ง

ในหลายประเทศที่มีระบบการศึกษาก้าวหน้า เช่น ฝรั่งเศล อิตาลี เยอรมนี หรือประเทศในกลุ่มนอร์ดิก หนังสือภาพไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสื่อเพื่อ "ปูพื้นฐานทางภาษา" เท่านั้น แต่เป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงระหว่างโลกภายนอกกับโลกภายในของเด็ก การเลือกหนังสือให้เด็กไม่ใช่การมองว่า "เล่มไหนจะสอนอะไร" แต่เป็นการมองว่า "เล่มไหนจะเปิดประเด็น หรือตั้งคำถามอะไร" เปิดมุมมองใหม่ให้กับเด็กที่เป็นผู้อ่านได้รู้ว่าตัวเขาเองมีสิทธิ์ และมีความสามารถในการ "สร้างความหมาย" ให้กับสิ่งที่อ่านได้

เมื่อเทียบกับสังคมไทยและประเทศในเอเชียส่วนใหญ่ เรากลับพบว่าหนังสือภาพยังคงถูกผูกไว้กับบทเรียน และการควบคุมความคิดของเด็กอย่างแนบเนียน มี "ข้อคิด" บรรจุไว้ท้ายเรื่อง มีตัวละครที่ถูก-ผิดชัดเจน มีเป้าหมายเพื่อสร้างพฤติกรรมมากกว่ากระตุ้นกระบวนการภายใน เพื่อให้เด็กเกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเอง

นี่จึงไม่ใช่แค่ความแตกต่างทางวัฒนธรรมของ "รูปแบบหนังสือ" แต่คือความต่างของวิธีคิดต่อ "มนุษย์" และ "เด็ก" ในสังคมนั้นๆ ว่า เราเชื่อหรือไม่ว่าเด็กมีศักยภาพในการเข้าใจความซับซ้อนของโลกตั้งแต่เล็ก? เราไว้วางใจให้เด็กตีความด้วยตัวเองได้แค่ไหน? และเราพร้อมจะปล่อยให้ "ความรู้" เกิดขึ้นในเด็กเอง โดยไม่จำเป็นต้องป้อนให้เสมอไปหรือไม่?

การเดินทางครั้งนี้ทำให้เห็นชัดขึ้นว่าการ "อ่านเพื่อเข้าใจโลก" หรือ "อ่านโลก" ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่สำนักพิมพ์สานอักษรพยายามสื่อสารกับสังคมผ่านการผลิตหนังสือภาพคุณภาพนั้นนั้น ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากเราไม่ยอมให้เด็ก "ตีความโลก" ด้วยตัวเขาเอง และนั้นคือหัวใจสำคัญของการเรียนรู้ในศตวรรษใหม่

นอกจากนี้การสร้างวัฒนธรรมการอ่านที่หลากหลาย และสร้างความเข้าใจในการทำงานของเด็กร่วมกับหนังสือ จะไม่มีทางเกินขึ้นได้ในประเทศดังกล่าวเลย ถ้าไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการผลิต ซื้อ และเผยแพร่ไปยังชุมชนทั่วทั้งประเทศ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งที่มีของโครงการอ่านยิ้ม อิ่มสมอง น้องอ่านฟรี 2568 นี้

อ่านได้ อ่านรู้ อ่านลึก: แนวทางการถอดบทเรียนและสื่อสารต่อสังคมของสำนักพิมพ์สานอักษร

การทำงานของสำนักพิมพ์สานอักษร ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการผลิตหนังสือภาพคุณภาพเท่านั้น หากแต่ให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้าใจเรื่องการอ่านเชิงตีความ ผ่านกระบวนการถอดบทเรียน และสื่อสารที่เป็นระบบ โดยอ้างอิงแนวคิด "Reading the lines, Reading between the lines, Reading beyond the lines" 

  • Reading the lines คือ การอ่านออก อ่านตามเนื้อความ เข้าใจเนื้อเรื่องและโครงสร้างพื้นฐาน
  • Reading between the lines คือ การอ่านตีความ อ่านระหว่างบรรทัด สังเกตสิ่งที่ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ เข้าใจนัยยะ อารมณ์ ความรู้สึก และความหมายที่ซ่อนอยู่
  • Reading beyond the lines คือ การอ่านต่อยอด ขยายความคิดเชื่อมโยงเรื่องราวไปสู่โลกภายนอกและโลกภายในของเด็กเอง ช่วยให้เกิดการสะท้อนคิดตั้งคำถาม และเรียนรู้จากมุมมองใหม่ และสร้างความหมายใหม่จากหนังสือ

กรอบแนวคิดนี้ถูกนำมาใช้ทั้งในการวิเคราะห์หนังสือภาพ (Picture Book Decode) การพัฒนาสื่อประกอบการอ่าน และการจัดเวิร์กช็อปหรือกิจกรรมกับครูและผู้ปกครอง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การอ่านไม่เป็นเพียงทักษะ แต่เป็นเครื่องมือของการคิดและการเติบโตภายในอย่างแท้จริง

สานอักษรจึงมุ่งเน้นการผลิตสื่อที่ช่วยให้ผู้ใหญ่รอบตัวเด็กเข้าใจว่า การอ่านที่ลึกซึ้งไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการสอน แต่เริ่มจากการอยู่ร่วมกับหนังสืออย่างเปิดใจ และเปิดพื้นที่ให้เด็กได้อ่านโลก" ในแบบของตัวเอง

หนังสือภาพคุณภาพในความหมายของสานอักษร

หนังสือคุณภาพมิได้หมายถึงหนังสือที่มีภาพสวยหรือภาษาละเมียดละไมเพียงอย่างเดียว แต่คือหนังสือที่ออกแบบมาอย่างตั้งใจ เพื่อให้เด็กมีส่วนร่วมกับเรื่องราวอย่างลึกซึ้ง เป็นหนังสือที่ไม่บอกคำตอบสำเร็จรูป แต่เปิดพื้นที่ให้เด็กได้ตั้งคำถาม และตีความด้วยกรอบประสบการณ์ของตนเอง

องค์ประกอบสำคัญของหนังสือภาพคุณภาพในแบบของสารอักษร ได้แก่:

  • เรื่องราวที่ซ่อนความหมายหลายชั้น ซึ่งสามารถเข้าถึงได้ในหลายระดับ ทั้งสำหรับเด็กเล็กที่อ่านภาพ และเด็กโตที่อ่านบริบท
  • ภาพประกอบที่ไม่เป็นเพียงคำอธิบายเนื้อหา แต่ทำหน้าที่เป็นตัวเล่าเรื่องอีกชุดหนึ่ง ควบคู่และบางครั้งก็ขัดแย้งกับข้อความ เพื่อเปิดพื้นที่ให้เด็ก “อ่านภาพ” และสร้างความหมายจากการสังเกตุด้วยตัวเอง
  • โครงสร้างเปิด (open-ended narrative) ที่ไม่มีข้อคิดตายตัว แต่กระตุ้นให้เด็กตั้งคำถาม คิดย้อน และเชื่อมโยงกับโลกของตนเอง
  • ความเคารพต่อเด็ก ทั้งในแง่ของความซับซ้อนทางอารมณ์ และความสามารถในการเข้าใจประเด็นที่ลึกซึ้ง เช่น ความเปาะบาง ความตาย ความหลากหลาย หรือความไม่ยุติธรรม

หนังสือเช่นนี้ไม่เพียงเป็นเครื่องมือในการสอนภาษา แต่เป็น "กระจก" ที่ให้เด็กสะท้อนตัวเองและ "หน้าต่าง" ที่พาเด็กให้มองเห็นโลกที่กว้างขึ้น หนังสือภาพคุณภาพจึงเป็นทั้งสื่อ และกระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงระหว่างภาษากับอารมณ์ จินตนาการกับความเข้าใจตนเองและโลกภายในกับภายนอก

 

วิธีการแก้ปัญหา

  1. 1. เด็กและผู้ใหญ่แวดล้อม ได้รู้จักกับหนังสือที่เปิดโอกาสให้ตีความ ผ่านการกระจายหนังสือภาพคุณภาพ ที่จะถูกจัดส่งไปในแต่ละพื้นที่ที่จะทำให้เด็กๆ และผู้ใหญ่ที่อาจไม่เคยมีโอกาสสัมผัสหนังสือลักษณะนี้ ได้ประสบการณ์ใหม่ในการอ่านหนังสือที่ไม่ใช่เพื่อสอน แต่เพื่อร่วมสำรวจความคิด ความรู้สึก และโลกทัศน์ผ่านภาพและเรื่องเล่า การได้อยู่ร่วมกับหนังสือในลักษณะนี้จะสร้างความสัมพันธ์ใหม่ระหว่างคนกับการอ่าน ทำให้หนังสือกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงง่าย และเต็มไปด้วยความหมายมากกว่าการเรียรู้เพื่อสอบ

  2. 2. เด็กมีโอกาสได้ฝึกตีความอย่างเป็นธรรมชาติ และสนุกกับภาษา โดยเด็กจะได้เรียนรู้ภาษาในบริบทที่เชื่อมโยงกับเรื่องราว อารมณ์ และประสบการณ์ชีวิต ซึ่งช่วยให้เกิดการเรียนรู้ภาษาอย่างมีชีวิต (living language learning) ได้เรียนรู้ว่าการอ่านที่ไม่กำหนดคำตอบจะเปิดโอกาสให้เด็กตั้งคำถาม สงสัย และพูดคุยอย่างอิสระ เกิดความรู้สึกว่า "การตีความของฉันมีค่า" และสร้างความสุขในการอ่านจากความเข้าใจ ไม่ใช่จากความจำ

  3. 3. สร้างความเข้าใจเรื่องหนังสือและการอ่าน ที่เปิดพื้นที่ให้เด็กๆ ได้สร้างกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ครูและผู้ปกครองที่เข้าร่วมโครงการจะได้เรียนรู้ผ่านคู่มือ สื่อ และการอบรมว่าการอ่านไม่ใช่การสอนให้รู้ แต่คือการอยู่กับเด็กในกระบวนการเรียนรู้ที่เขาเป็นเจ้าของ แนวคิด "อ่านได้ อ่านรู้ อ่านลึก" จะช่วยให้ผู้ใหญ่เห็นศักยภาพของเด็กในการตีความ คิดวิเคาะห์ และเข้าใจโลกในแบบของตน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้ตลอดชีวิต

แผนการดำเนินงาน

  1. พ.ย. - ธ.ค. 2568

    รวบรวมข้อมูลโรงเรียนระดับอนุบาล และระดับประถมศึกษาตอนต้น

  2. ม.ค. - เม.ย. 2569

    วางแผนการประชาสัมพันธ์ เปิดระดมทุน และเปิดรับสมัครโรงเรียนที่สนใจรับบริจาคหนังสือ

  3. ม.ค. - เม.ย. 2569

    เปิดระดมทุน และเปิดรับสมัครโรงเรียนโรงเรียนที่สนใจรับบริจาคหนังสือ พร้อมคัดเลือกโรงเรียนที่ผ่านเกณฑ์

  4. เม.ย. - พ.ค. 2569

    จัดหาหนังสือตามจำนวนที่กำหนด

  5. เม.ย. - พ.ค. 2569

    ส่งมอบหนังสือให้แก่โรงเรียน

  6. พ.ค. - มิ.ย. 2569

    เก็บผลการดำเนินงาน การนำไปใช้จากทางโรงเรียนที่ได้รับเลือก

  7. พ.ย. 2568 - ก.ค. 2569

    ปิดโครงการ

แผนการใช้เงิน

รายการจำนวนจำนวนเงิน (บาท)
หนังสือภาพ (26 เล่มต่อชุด)

200ชุด500,000.00
รวมเป็นเงินทั้งหมด500,000.00
ค่าสนับสนุนเทใจ (10%)50,000.00
ยอดระดมทุน
550,000.00

ผู้รับผิดชอบโครงการ

สำนักพิมพ์สานอักษร

สำนักพิมพ์สานอักษร

กรุงเทพมหานคร

สำนักพิมพ์สานอักษร จัดตั้งขึ้นภายใต้มูลนิธิโรงเรียนรุ่งอรุณ เพื่อสานต่อประสบการณ์กว่า 25 ปี ของโรงเรียนรุ่งอรุณภายใต้แนวคิด “การบูรณาการสู่ชีวิต” ผ่านสื่อหนังสือ ตั้งแต่นิทานภาพสำหรับเด็ก หนังสือเรียน คู่มือครู ไปจนถึงหนังสือสำหรับผู้ปกครอง ตลอดเวลากว่า 20 ปี เรามุ่งสร้างหนังสือที่เปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่สั่งสอน ไม่ชี้นำ แต่ชวนให้เด็กๆ “เล่นและคิด” ไปกับเรื่องราวอย่างเป็นธรรมชาติ โดยใช้ภาพและถ้อยคำที่พาเด็กเข้าถึงบรรยากาศ ความรู้สึก และคุณค่าที่ซ่อนอยู่ สานอักษร เชื่อว่า ‘หนังสือ’ ไม่ใช่เพียงสิ่งพิมพ์ แต่คือหน้าต่างที่เปิดสู่โลกของการเรียนรู้สำหรับเด็ก ครู และผู้ปกครอง เราจึงเลือก ‘เล่าเรื่อง’ ที่ใกล้ชิดกับคำถาม ชีวิตและความสนใจของเด็กๆ บวกกับ ‘ภาพ’ ที่ทำหน้าที่พาให้เด็กอ่านและตีความสิ่งที่คำอาจบอกเล่าไม่หมด ภาพและคำที่ทำงานด้วยกันอย่างพอดีนี้เอง จนจะทำให้เด็กไม่เพียงติดตามเรื่องราว แต่ยังเชื่อมโยงไปสู่คุณค่าที่ซ่อนอยู่ในหนังสือได้ด้วยตัวเอง สำหรับสานอักษร “หนังสือ” จึงไม่ใช่เพียงสิ่งพิมพ์ แต่คือหน้าต่างที่เปิดสู่โลกของการเรียนรู้สำหรับเด็ก ครู และผู้ปกครอง เราจึงมุ่งมั่นที่จะส่งต่อมิติของการเรียนรู้ไปถึงมือทุกคนให้ได้มากที่สุด ผ่านการผลิตสื่อสร้างสรรค์และกิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการให้กับทุกภาคส่วน โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือของเราจะช่วยบ่มเพาะเมล็ดแห่งความใฝ่รู้ ที่จะเติบโตเป็นรากฐานของการศึกษาที่มีคุณภาพและยั่งยืนให้กับสังคมไทย

ดูโปรไฟล์

สร้างเพจระดมทุน

ร่วมกันระดมทุนเพื่อสนับสนุนโครงการนี้

สร้างเพจระดมทุนให้โครงการนี้
icon