ออกเดินทางสู่จุดหมาย
เด็กๆ ของมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เจ้าหน้าที่ และอาสาสมัครจัดกิจกรรม จำนวนกว่า 15 คน เดินทางไป “ค่ายศิลปะรักษาใจ” ซึ่งเป็นค่ายศิลปะที่เรียนรู้วิถีชีวิต การพึ่งพาตนเอง พึ่งพิงธรรมชาติ ที่ชุมชนบ้านหนองบัวน้อย ต.กระทุ่มราย อ.ประทาย จ.นครราชสีมา หมู่บ้านเล็กๆ 60 หลังคาเรือน รายรอบด้วยผืนป่าชุมชนที่สงบกว่า 150 ไร่ มีวัดเป็นศูนย์รวมจิตใจ ชาวบ้านมีความรักใคร่สามัคคีเอื้อเฟื้อต่อกัน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพทำนา ว่างจากการเก็บเกี่ยวจะปลูกผัก ทอผ้า ทอเสื่อ จักรสาน เผาถ่าน หาอาหารจากป่าจากนาจำหน่ายในชุมชนกันเอง เพื่อหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวแบบวิถีชนบท
เมื่อถึงที่หมาย เด็กทักทายผู้ใหญ่ที่รอต้อนรับ ล้อมวงรับประทานอาหารกลางวัน หลังจากนั้นแยกย้าย เก็บสัมภาระ เด็กๆต่างช่วยกันเก็บกวาดดูแลความสะอาดและจัดเตรียมที่พักด้วยตัวเอง
สมาชิกของค่าย
เด็ก 10 คนซึ่งเป็นกลุ่มเด็กที่ต้องได้รับการดูแลพิเศษ เพราะมีสภาวะบางอย่าง เช่น พัฒนาการด้านสติปัญญาล่าช้ากว่าเกณฑ์ปกติ การเรียนรู้บกพร่อง สมาธิสั้น ความเจ็บป่วยด้านจิตเวช
รูปแบบกิจกรรม
กิจกรรมหลัก ได้แก่ การเรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้าน การเรียนรู้ธรรมชาติ และถ่ายทอดสิ่งที่ได้เรียนรู้ผ่านการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ แต่ด้วยเหตุที่กลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มเด็กที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ดังนั้นรูปแบบการจัดกิจกรรมจึงเน้นให้เวลาและโอกาสในการเรียนรู้อย่างละเอียด ตอบสนองพัฒนาการเด็ก เพื่อกระตุ้นประสาทสัมผัส ลดสิ่งเร้า นอกจากนี้กิจกรรมยังเน้นให้เด็กได้ฝึกการสังเกต เรียนรู้จากของจริง และมีโอกาสได้ลงมือปฏิบัติจริง
กิจกรรมค่าย
วันแห่งการเริ่มต้น...สัมผัสท้องทุ่ง
“..แท็ก แท็ก แท็กๆๆๆ..”
เสียงรถอีโก้ง หรือรถไถนาที่ต่อพ่วงท้ายเป็นที่นั่ง ดังขึ้น เด็กๆตื่นเต้น ต่างปีนป่ายจับจองที่นั่ง หอบหิ้วอุปกรณ์เพื่อไปทำกิจกรรมที่ปลายนา ตลอดเส้นทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ มีน้ำขังบนถนน ทำให้รถไถนาทั้งบุกทั้งลุยน้ำกระเซ็น ทุ่งนาที่เงียบเหงาจึงสดใสด้วยเสียงหัวเราะตื่นเต้นสนุกสนานของเด็กๆ
ไม่นานเราก็มาถึงจุดหมาย ทุ่งนากว้างใหญ่เขียวขจี ต้นข้าวกำลังออกรวงลู่ลมส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ เด็กหลายคนตื่นเต้นระคนกลัวตกน้ำ กลัวหญ้าทิ่มขา เราจึงได้เห็นภาพเด็กและผู้ดูแลเดินช้าๆ จูงมือกันเป็นทิวแถวตามคันนา
และเมื่อเด็กๆ มาถึงกระท่อมน้อยปลายนา ก็ปูเสื่อนั่งกับพื้นหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่เพื่อให้เด็กๆทุกคนช่วยกันกำหนดข้อตกลงในการใช้ชีวิตร่วมกันในค่าย ทุกคนต่างก็พยายามที่จะยกมือเพื่อเสนอความคิดเห็น กติกาที่เหล่าสมาชิกตัวน้อยได้ตั้งขึ้น ได้แก่ การตั้งใจทำกิจกรรม การพูดจาดีๆ กับเพื่อน มีขอบเขต ควบคุมตนเอง มีน้ำใจช่วยเหลือแบ่งปันกัน มีมารยาท เคารพผู้ใหญ่ที่อยู่ในชุมชนชุมชน และไม่ทำลายธรรมชาติ
หลังจากนั้นพี่ๆ ก็เปิดโอกาสให้น้องๆ เดินสำรวจพื้นที่ เมื่อมีข้อสงสัย ก็มาตั้งคำถามกับคุณลุงสังคม ศรีลิ้ม ครูชาวนาของเรา เด็กหลายคนไม่รู้จักหรือเคยเห็นต้นข้าวมาก่อน และไม่รู้ว่าข้าวสวยที่เขากินอยู่ทุกวันมีที่มาอย่างไร ซึ่งครูชาวนาของเราก็ได้ตอบข้อสงสัยต่างๆ เช่น ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว ขั้นตอนกระบวนการทำนา และยังสอนวิธีหาอาหารจากท้องนา ได้แก่ การปักเบ็ดหาปลา หรือหากบ ซึ่งเด็กก็ได้เรียนรู้ตั้งแต่การหาเหยื่อ ซึ่งก็คือไส้เดือน จนถึงวิธีการปักเบ็ดเลยทีเดียว
ระหว่างรอปลาติดเบ็ด ก็เป็นช่วงเวลาในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะของเด็กๆ พวกเขาต่างเลือกจับจองที่นั่งตามมุมต่างๆ บางคนอยู่ใต้ต้นไม้ บางคนนั่งบนคันนา แต่ก็อยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ กัน และเลือกหาอุปกรณ์ศิลปะตามต้องการ กิจกรรมนี้เรามีวิทยากรมาให้กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะให้กับเด็กๆ คือ คุณศักดา คุ้นเคย ครูศิลปะธรรมชาติ เด็กๆ ถูกสอนให้นำใบไม้ตัดเป็นช่องเล็กๆเพื่อเปิดมุมมองในโลกในการทำงานศิลปะ เด็กมีโอกาสในการเลือกขนาดใบไม้ที่ชอบ เลือกมองดูมุมที่รู้สึกถูกใจ การให้อิสระในการทำงานช่วยสร้างตัวตนที่เข็มแข็งแก่เด็กๆ แม้เป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเด็กได้มีโอกาสตัดสินใจ เลือก ทำด้วยความสุข ผลงานจึงเต็มไปด้วยความมั่นใจในแบบที่ตนเองทำได้ มีความสุข มีความงามที่เป็นอิสระ แตกต่างและเป็นตัวของตัวเอง
วันที่สอง...เรียนรู้ธรรมชาติรอบตัว
เช้าวันใหม่ กับสายฝนพรำๆ กิจกรรมเดินป่า ศึกษาธรรมชาติ สมุนไพร ที่ป่าชุมชนและวัด ทำให้เด็กๆ มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องสมุนไพรใกล้ตัว จากพระอาจารย์กิ่ง อินทญาโณ เจ้าอาวาสวัดหนองบัวน้อย ที่สอนให้เด็กได้เรียนรู้สมุนไพรใกล้ตัว เรียนรู้จากสิ่งที่มีอยู่จริงในวัดเช่น ใบหูเสือแก้ไอ มะกรูดดับกลิ่น ยาเส้นแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้น เด็กๆได้รู้จักสมุนไพรใกล้ตัวซึ่งพวกเขาอาจจะนำมาใช้ในอนาคตได้ แต่เข้าวัดแล้ว หากเด็กๆ ไม่มีคำถามเรื่อง ผี นรกสวรรค์ คงเป็นไปไม่ได้ พระอาจารย์จึงต้องตอบข้อซักถามมากมายทีเดียว นอกจากนี้แล้วพระอาจารย์ยังได้แนะนำสั่งสอนในเรื่องการประพฤติปฏิบัติตน เช่น อยากเป็นคนแบบไหนที่ทำให้คนรัก ทำอย่างไรให้ตนเองเป็นเด็กดีที่สุภาพ ว่านอนสอนง่าย พูดจาไพเราะ กับทุกคน โดยพระอาจารย์เปรียบเทียบกับการที่เด็กเล่นกับเจ้าหมาน้อยที่อยู่ในวัด ว่าเด็กๆเองยังชอบเล่นกับหมาที่ดี และไม่ชอบเล่นกับหมาที่ดื้อ หรือ ดุ ซึ่งทำให้เด็กสามารถคิดเชื่อมโยงได้ดีทีเดียว
และด้วยความตั้งใจและน่ารักของเด็กๆ พระอาจารย์ยังเมตตาให้เด็กกินขนมที่ได้รับบาตรมาเมื่อเช้าด้วย ซึ่งเป็นการเพิ่มพลังก่อนที่จะเข้าสู่กิจกรรมการเรียนรู้ในช่วงต่อไป
การเดินป่าศึกษาธรรมชาติเริ่มต้นขึ้นช่วงสายๆ แต่อากาศไม่เป็นใจ สายฝนบางๆ โปรายปรายลงมา แต่ก็ยังโชคดีที่มีต้นไม้หนากำบังฝนให้ แต่เมื่อลุยมาจนถึงป่าแล้ว ฝนตกยังไงเด็กๆ ก็ไม่ถอย เพราะดอกไม้ป่านั้นช่างมีเสน่ห์ยวนใจเหลือเกิน ไหนจะได้ลิ้มรสลูกไม้ป่าหวานหอมอีก พันธุ์ไม้หลากหลายชนิดที่ไม่เคยเจอมาก่อน การหาเห็ดก็เป็นอีกหนึ่งอย่างที่เด็กๆ พยายามทำ สิ่งเหล่านี้สร้างความตื่นเต้นไม่น้อยให้กับเด็ก ๆ แต่สมาชิกของเราบางคนก็กลัวจะหลงป่า ก็เลยเดินใกล้ๆ พยายามดูแลกันและกัน เรียกหากันด้วยความห่วงใย ภาพความประทับใจของการดูแลกันและกันจึงเป็นภาพความทรงจำที่ติดอยู่ในใจของสมาชิกทุกคน
ตกบ่ายพระอาทิตย์ยังคงหลับใหล ฝนตกตลอดทั้งวันเพราะมรสุมเข้า โปรแกรมขนมไทยสบายๆที่บ้านจึงเหมาะอย่างยิ่ง เด็กๆ มารวมตัวกันใกล้ๆ เตาถ่านอุ่นๆ ของคุณยายบุญส่ง ศรีลิ้ม ครูชาวบ้านสอนทำขนมไทย เด็กๆ ช่วยคุณยายเตรียมใบตอง นำใบตองอิงไฟอุ่นให้หอมบนเตาถ่าน เรียงใบตอง ต่อจากนั้น ก็มาผัดข้าวเหนียว เด็กๆ ได้เรียนรู้การกะปริมาณส่วนผสมว่าจะใส่ข้าวเหนียว น้ำกะทิ และถั่วลิสง เท่าไรเพื่อให้รสชาดกลมกล่อม หลักจากผัดข้าวเหนียวเสร็จ ก็มาปลอกกล้วยสำหรับทำไส้ข้าวต้มมัด เสร็จจากปอกกล้วยข้าวเหนียวก็อุ่นพอดีที่จะห่อได้ ขั้นตอนนี้เด็กๆ สนุกกันใหญ่ การกะปริมาณข้าวเหนียวแต่ละห่อโดยใช้ช้อนตักข้าวเหนียว เอากล้วยวางลงไปบนใบตอง ห่อโดยจับจีบหัวท้าย และมัดตอก ตอนนี้เด็กๆ ก็ได้ฝึกการใช้กล้ามเนื้อมือในการกด มัด หมุน และเหน็บ หลังจากนั้นก็ตัดแต่งด้วยกรรไกรอีกเล็กน้อย การห่อข้าวต้มมัดไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับสมาชิกตัวน้อยของเรา แต่ความพยายาม ความตั้งใจมีอยู่เต็มเปี่ยม และไม่ท้อ ทำให้ผลงานออกมาดีขึ้นตามลำดับ แต่ข้าวต้มที่ห่อออกมาจึงไม่สวยงามอย่างที่เราเห็นในท้องตลาด มีทั้งเล็กกระจิ๋ว ใหญ่เป้ง แต่กระนั้นยายบุญส่งยังให้กำลังใจว่ายิ่งทำบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ก็จะดีขึ้น
เสร็จจากการห่อข้าวต้มมัด เด็กก็ช่วยกันก่อไฟ แล้วเอาข้าวต้มที่ห่อไว้ใส่หม้อ เติมน้ำ แล้วนำขึ้นตั้งไฟ ระหว่างนี้เด็กๆ ต้องใช้ความใส่ใจในการดูแลฟืนไฟให้กล้า และสม่ำเสมอ เติมน้ำให้เดือดสม่ำเสมอ เพื่อให้ข้าวเหนียวสุกทั่วกัน ไม่นานก็ได้ยินเสียงหม้อข้าวต้มมัดเดือดผุดผุด ส่งกลิ่นหอม ควันไฟ ไออุ่นจากเตาล่องลอยให้คลายหนาว
ระหว่างรอข้าวต้มมัดสุก เด็กๆ ก็ลงมือบันทึกเขียนความประทับใจและวาดภาพเก็บเกี่ยวรายละเอียดขั้นตอนการทำอุปกรณ์ ส่วนประกอบและวิธีการทำข้าวต้มมัด เด็กๆ สังเกตและบันทึกจากของจริงที่วางเรียงรายรอบตัว เช่น มะพร้าว ใบตอง กล้วย ข้าวเหนียว เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงเวลาลองลิ้มชิมรสข้าวต้มมัด เด็กๆ ล้อมวงกินกันร้อนๆ อย่างเอร็ดอร่อย กินไปยิ้มไปอย่างมีความสุข
ห้องเรียนข้าวต้มมัดวันนี้จึงได้ทั้งความสนุกสนาน การร่วมแรงร่วมใจ ความภูมิใจที่ได้ทำเองกินเอง แถมท้ายด้วยความอร่อย แบบสะอาดปลอดภัยและไม่สิ้นเปลือง
วันสุดท้าย..ห้องเรียนปลอดสาร
เช้าตรู่ของวันสุดท้ายของค่าย มีกิจกรรมดูนก สำรวจธรรมชาติ เด็กๆ เดินทางไปสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบตัวริมทุ่งนา มีนกหลากหลายชนิดส่งเสียงเจื้อยแจ้ว มีชาวนาเดินทางไปนา เด็กๆ ส่องกล้องดูนก มีนกหลายชนิดที่เด็กๆ ไม่รู้จัก แต่พวกเขาก็ใช้วิธีการค้นหาจากคู่มือศึกษานก เพื่อหาทั้งชื่อและแหล่งที่อยู่ของนกชนิดนั้นๆ รวมทั้งแหล่งอาหารของนกด้วย ช่วงนี้เด็กๆ ได้บันทึกและเขียนเรื่องราวของนกที่ตนเองชอบ กิจกรรมนี้นอกจากฝึกการสังเกตเรียนรู้ธรรมชาติให้กับเด็กๆ แล้ว ยังสร้างจิตสำนึกในเรื่องการมีส่วนร่วมในการดูแลอนุรักษ์ธรรมชาติอีกด้วย
ก่อนที่จะถึงอาหารมื้อเที่ยงของวันนี้ เด็กๆ จะได้เข้าสู่การเรียนรู้ในห้องเรียนต่อไป ซึ่งก็คือการทำอาหารกลางวัน ห้องเรียนนี้ เด็กๆได้เรียนรู้การทำอาหารจากป้าเกศินี แหวนประชา ได้มีโอกาสเก็บผักพื้นบ้านปลอดสารพิษสดๆจากต้นและแปลงปลูกหลากหลายชนิดทีเดียว ทั้งดอกแค ตำลึง มะระ ชะพลู ขี้เหล็ก ผักปลัง มะเขือ หลังจากเก็บแล้วก็มาล้อมวงช่วยกันเด็ดยอดตำลึง หั่นมะเขือ ล้างใบชะพลู และผักต่างๆ อาหารมื้อนี้อร่อยสุดๆ เพราะทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันทำ และเอา “ใจ” ใส่ลงไปในหม้อแกงด้วย ดังนั้นแกงหม้อนี้จึงเป็นแกงที่อร่อยที่สุดในโลกของเด็กๆ เลยทีเดียว
ตกบ่ายของวันนั้น “ห้องเรียนปลอดสาร” ก็เริ่มขึ้น คุณยายบุญส่ง ศรีลิ้ม ครูชาวบ้าน เริ่มสอนบทเรียนการปลูกผักปลอดสารพิษให้กับเด็ก คุณยายพาเด็กๆ ไปที่แปลงผักที่คุณยายเพาะชำกล้าผักไว้ เพื่อให้เด็กๆ เลือกกล้าผักเล็กๆ และย้ายมาปลูกในแปลงใหญ่ บริเวณแปลงผักนั้นค่อนข้างชื้นแฉะ ลื่นและเหนียวด้วยโคลนดิน หนึบเท้า เด็กบางคนถอดรองเท้าค่อยๆสัมผัสย่ำดินอย่างระมัดระวัง หลายคนกลัวเลอะ กลัวแมลง กลัวหนอน กลัวหนาม สารพัดจะกลัว แต่ก็ไม่วายจะสนุกสนานกับการถอนกล้าผัก
เมื่อได้กล้าผักแล้ว ก็ย้ายกันมาที่แปลงใหญ่ที่คุณยายใจดีเตรียมดินไว้ให้แล้ว คุณยายสอนให้ขุดหลุมด้วยนิ้วและนำกล้าผักกวางตุ้งมาวางในหลุม กลบดินเล็กน้อย และกดเบาให้ลำต้นตั้งตรง เด็กพยายามทำ ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ยายคอยช่วยเหลือดูแล เด็กๆจึงปลูกเสร็จ หลังจากนั้นก็ต้องไปตักน้ำในบ่อมารด หลังจากเสร็จงาน เด็ก ๆ ก็ยังคุยกับคุณยายต่ออีกพักใหญ่ หลากหลายคำถามที่อยากรู้ก็พรั่งพรูออกมา “ยายจ๋า เมื่อไรผักของหนูจะโตจ๊ะ ?” “เราต้องใส่ปุ๋ยด้วยหรือเปล่าคะ” “ฉีดยาฆ่าแมลงหรือเปล่าจ้ะ” “ผักปลอดสารพิษเหมือนผักที่ตลาดมั้ยจ้ะ” ฯลฯ จากที่ได้เข้าห้องเรียนนี้เด็กๆ ได้เรียนรู้ทั้งวิธีการปลูกผัก ดูแลผัก ประโยชน์ของมัน รวมถึงความต่างระหว่างผักปลอดสารพิษ และผักทั่วไป เพราะคุณยายบุญส่งได้ไขข้อข้องใจของเด็กๆ ทุกข้อกันเลยทีเดียว
ก่อนจะจบห้องเรียนปลอดสาร เด็กน้อยก็ไม่ลืมที่จะถามคำถามสำคัญ “หนูขอกลับมากินผักที่พวกหนูช่วยกันปลูกได้มั้ยจ๊ะยาย ?”
บ่ายคล้อยก็ถึงเวลาที่เด็กๆ จะมาสรุปกิจกรรมค่ายร่วมกัน การสรุปครั้งๆ นี้ เด็กๆเลือกที่จะวาดรูปและเขียน เพื่อบอกเล่าเรื่องราวความประทับใจ นำเสนอและสรุปการเรียนรู้ของตัวเอง มีเพื่อนๆรับฟัง ช่วยสะท้อน แลกเปลี่ยนและชื่นชม
เด็กๆ ส่วนใหญ่ชื่นชอบอากาศที่เย็นสบาย ชอบนาข้าว และความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ รวมทั้งผู้คน พระ ชุมชนที่มีส่วนในการช่วยเหลือดูแลและจัดกิจกรรมให้กับพวกเขา ชอบที่ได้ทำขนมไทย ทำอาหาร หาปลา ปลูกผัก รวมทั้งได้เรียนรู้เรื่องการใช้สมุนไพร
เด็กๆ ไม่ลืมที่จะขอบคุณคนโน้น คนนี้ เช่น ขอบคุณผู้บริจาคที่ให้เงินมาทำกิจกรรม ขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลพวกเขาอย่างดี ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่ตั้งใจทำกิจกรรมด้วยกัน เป็นกำลังใจและช่วยเหลือกันในค่าย และสุดท้ายก็ไม่ลืมขอบคุณตัวเอง และรู้สึกดีกับตัวเอง พอใจ ภูมิใจในสิ่งที่ตนเองทำได้
สายใจ ศรีลิ้ม นักศิลปะบำบัด...ผู้เขียน
มูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก