"แก่ก่อนรวย ป่วยก่อนตาย" ปัญหาใหญ่ของสังคมสูงวัย

เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2021
HIGHLIGHTS:
  • ประเทศไทยเป็น Aged society เเล้วหลังจากสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเป็น 17% ในปี 2563 
  • คุณภาพชีวิตที่ดีอยู่ไกลเกินเอื้อม ทั้งการรักษาพยาบาลที่ไม่ครอบคลุม และเบี้ยคนแก่ 600 บาทที่ไม่พอเลี้ยงชีพ
  • ภาระการดูแลผู้สูงวัยจะตกเป็นของลูกหลาน ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำเดิมๆ ที่ทำให้ครอบครัวชนชั้นล่างติดอยู่ในวัฎจักรความจนต่อไป

"แก่ก่อนรวย" ไม่ได้หมายถึงรวยล้นฟ้า แต่รวยพอที่จะมีเงินใช้เพียงพอในยามเกษียณ พอสำหรับดูแลคนในครอบครัว เพราะหากยังมีเงินไม่เพียงพอ เราคงต้องภาวนาไม่ให้มีใครในครอบครัวล้มป่วยลง เพราะครอบครัวอาจจะเสียมากกว่าค่าหมอ ค่ายา ทั้งค่าใช้จ่ายแอบแฝงและค่าเสียโอกาส สถานการณ์นี้เป็นสิ่งที่ครอบครัวไทยจำนวนมากต้องเผชิญ อย่างที่เราจะเห็นในเรื่องราวของครอบครัวยายติ๊บ พ่อเบี้ยว และพี่บิด ซึ่งเป็นหนึ่งในครอบครัวที่โครงการ ADOPT A GRANNY ปันสุขผู้สูงวัย กำลังดูแลอยู่

CASE STUDY:

เรื่องจริงจากครอบครัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเขตเทศบาลเมืองจังหวัดเชียงใหม่ ยายติ๊บกับตาเบี้ยว เป็นสามีภรรยากัน มีลูกด้วยกัน 2 คน พี่บิดลูกชายคนเล็กอยู่กับพ่อแม่ ส่วนพี่มานะลูกชายคนโตแต่งงานแยกบ้านออกไปอยู่กับภรรยา และมีลูกๆ 2 คน

บ้านที่ยายติ๊บ ตาเบี้ยว และพี่บิด อาศัยอยู่ เป็นบ้านครึ่งไม้ครึ่งปูนที่อยู่กันมาตั้งแต่เริ่มสร้างครอบครัวเมื่อ 60 ปีก่อน ตอนนี้สภาพจึงเก่าครึตามกาลเวลา


ปัจจุบันยายติ๊บอายุ 82 ปี เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ยายติ๊บถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ จึงต้องผ่าตัดพร้อมกับผ่าตัดถุงน้ำดี ประกอบกับหกล้ม ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ตาเบี้ยวสามีซึ่งตอนนั้นบวชเป็นพระต้องสึกออกมาคอยดูแล ส่วนพี่บิดลูกชายคนเล็กรับจ้างทำงานทั่วไปเพื่อหารายได้มาดูแลยายติ๊บกับพ่อเบี้ยว

ยายติ๊บได้รับการผ่าตัดเกินกว่าสิบครั้งในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง และยังมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวาน ความดัน พี่บิดลูกชายคนเล็กจึงเป็นเสาหลักหารายได้ให้ครอบครัว และช่วยตาเบี้ยวดูแลยายติ๊บด้วย


ทั้งตาเบี้ยวและพี่บิดทุ่มเทดูแลยายติ๊บเต็มที่ แต่เคราะห์ร้ายเข้ามาเยือน เมื่อ 2 ปีก่อน ตอนพี่บิดอายุได้ 45 ปี พี่บิดเป็นสโตรก ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงซีกขวา ตั้งแต่นั้นมาพี่บิดไม่สามารถออกไปทำงานได้ ต้องรักษาตัว นั่งรถเข็น และทำกายภาพฟื้นฟู ตาเบี้ยวในวัย 91 จึงต้องรับหน้าที่ดูแลยายติ๊บละพี่บิดที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้

เมื่อครอบครัวไม่มีเงินเก็บ รายได้หลักจึงมาจากเบี้ยยังชีพต่างๆ ที่ได้จากรัฐ ทั้งเบี้ยผู้สูงอายุ เบี้ยคนพิการ รวมเป็นเงิน 4,200 บาทต่อเดือน ซึ่งไม่พอจุนเจือสามชีวิต เเม้พี่มานะ ลูกชายคนโตจะส่งเงินเพิ่มให้อีกทุกเดือน


แต่ยังไม่จบแค่นั้น เมื่อปีก่อน ตาเบี้ยวเริ่มมีภาวะสมองเสื่อม ซึ่งอาการแย่ลงอย่างรวดเร็วจนปัจจุบันนอนติดเตียงแล้ว พี่มานะ ลูกชายคนโตจึงต้องออกจากงานประจำที่นิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือจังหวัดลำพูน ในแผนกทำขนม กลับบ้านมาอยู่ดูแลผู้ป่วยทั้งสามเต็มเวลา 

เมื่อพี่มานะต้องลาออกจากงาน ภรรยาของพี่มานะจึงกลายเป็นเสาหลักดูแลอีก 6 ชีวิต ทั้งสามีของเธอ พี่บิด ตาเบี้ยว ยายติ๊บ และลูกน้อยอีกสองคน วัย 6 ขวบ และ 10 ขวบ นอกจากภาระอันหนักอึ้งจะตกกับภรรยาแล้ว ลูกทั้งสองคนก็เสี่ยงที่จะดรอปเรียน เพราะการมีสมาชิกในครอบครัวป่วยมีภาวะพึ่งพิง และการที่สมาชิกครอบครัวต้องออกจากงาน เป็นสองปัจจัยชี้นำ (early-warning indicators) ของการหลุดออกจากระบบการศึกษา


ครอบครัวยายติ๊บไม่ใช่ครอบครัวเดียวที่เผชิญกับปัญหานี้ สถานการณ์คล้ายๆ กันเกิดขึ้นกับอีกหลายครอบครัวไทย และเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ในสภาพสังคมไทยปัจจุบัน การดูแลผู้สูงวัยมักจะตกเป็นภาระของลูกหลาน ถ้าลูกหลานมีเงินหน่อยก็จ้างคนมาดูแลแทนได้ แต่ลูกหลานที่สถานะทางการเงินไม่ดี อาจจะต้องลาออกจากงานมาดูแลพ่อเเม่เอง เพราะไม่มีเงินจ้างผู้ดูแล

ความยากจนบีบให้คนในครอบครัวต้องกลับมาดูแลผู้ป่วยเเม้ว่าสถานการณ์ของตนก็ไม่สู้ดีนัก ไม่ว่าจะด้วยอายุที่มากขึ้น สุขภาพที่อ่อนเเอ หรือ การสูญเสียรายได้ ภาระการดูแลผู้สูงวัยตกเป็นของลูกหลาน ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำเดิมๆ ที่ทำให้ครอบครัวชนชั้นล่างติดอยู่ในวัฎจักรความจนต่อไป


เเม้ว่าคนจำนวนมากจะประสบปัญหานี้ แต่การดูเเลคนเเก่จนๆ มันไม่ได้กำไรอะไร เลยไม่มีใครมาช่วย นี่คือจุดที่กิจการเพื่อสังคมอย่าง Buddy Homecare จะเข้ามาช่วยสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีในชีวิตผู้สูงวัยและครอบครัว โดยนำรายได้จากการให้บริการผู้สูงอายุที่มีกำลังจ่าย มาให้เป็นค่าใช้จ่ายในการดูแลผู้สูงอายุยากไร้ การดำเนินงานของ Buddy Home Care จะช่วยตอบโจทย์สังคมที่กำลังแก่ตัวลงอย่างยั่งยืน


ขอบคุณข้อมูลจาก Buddy Home Care

อ่านรายละเอียดโครงการ Adopt a granny ปันสุขผู้สูงวัย ได้ ที่นี่ 

อ้างอิง:

https://www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_22Feb2021.aspx

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/910258