project เด็กและเยาวชน

ส่งน้อง(พงศ์ ชั้นม.3 )เรียน สร้างเด็กดี ผมอยากเป็นทหาร

แม่ ผมและน้อง มีอาชีพร้อยพวงมาลัยขาย เมื่อขายพวงมาลัยเสร็จ ผมต้องไปเรียนหนังสือต่อ โตขึ้นผมอยากเป็นทหารรับใช้ชาติและจะตั้งใจเรียนหนังสือ เพื่อมาดูแลแม่

ระยะเวลาโครงการ 4 เดือน พื้นที่ดำเนินโครงการ ชัยนาท

ยอดบริจาคขณะนี้

35,100 บาท

เป้าหมาย

35,000 บาท
ดำเนินการไปแล้ว 100%
จำนวนผู้บริจาค 47

สำเร็จแล้ว

ความคืบหน้าโครงการ

ถาม-ตอบ กรณีน้องพงค์จากยุวพัฒน์

4 กุมภาพันธ์ 2016
จากจดหมายความคืบหน้าของน้องพงศ์(นามสมมติ) และทางเจ้าของความคิดเห็นได้ตั้งคำถามนั้น เทใจส่งความคำถามถึงการแก้ไขปัญหาของเด็กที่เกิดขึ้น ทางมูลนิธิได้ชี้แจงมาเบื้องต้นดังนี้ค่ะ
 
"สำหรับเรื่องงานลูกเสือนี้ น้องไม่สามารถไปเองได้ค่ะ จะต้องเป็นอาจารย์ที่พาไปเสมอ แต่จะตรวจสอบให้ว่า เพราะเหตุใดอาจารย์จึงให้น้องไปทั้ง 3 งาน
 
ส่วนเรื่องการให้ทุนการศึกษาแก่น้องๆ ทุกคนนั้น มูลนิธิฯ ระบุว่า การใช้จ่ายนั้น น้องจะต้องใช้จ่ายกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนเสมอ
ซึ่งจริงๆ แล้วค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเรียนนั้นมีหลากหลายค่ะ ตั้งแต่ ชุดนักเรียน รองเท้า ถุงเท้า กระเป๋า เครื่องเขียน ค่าทำรายงาน
ค่ารถโดยสารไปโรงเรียน ค่าอาหารกลางวันที่โรงเรียน ค่าตัดแว่น (ในกรณีที่น้องสายตาสั้น) หรือ ค่าอื่นๆ ที่โรงเรียนเรียกเก็บเพิ่มเติม (แล้วแต่โรงเรียน) ไม่ว่าจะเป็นค่าบำรุง ค่าครูต่างชาติ ค่าห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ค่าทัศนศึกษา ฯลฯ
 
อยากชี้แจงให้ผู้บริจาคทุกท่านทราบว่าสำหรับเด็กๆ ที่มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้เรียนต่อมัธยมนั้น ส่วนใหญ่แล้ว ปัญหาก็คือทางบ้านยากจน และ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการไปโรงเรียนในแต่ละวันจะสูงขึ้นจากชั้นประถม
เนื่องจากต้องมีทั้งค่ารถโดยสารและค่าอาหารกลางวัน (เทียบกับเมื่อเรียนประถมที่ค่าอาหารกลางวันจะฟรี และ โรงเรียนจะอยู่ใกล้บ้าน) และ ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามชั้นเรียนที่สูงขึ้นค่ะ
 
การได้รับทุนการศึกษาจะช่วยให้ผู้ปกครองของเด็กๆ เหล่านี้รู้สึกว่า ยังให้น้องเรียนต่อมัธยมได้ค่ะ แทนที่จะให้น้องออกจากการเรียน"
 
 ขอบคุณค่ะ
ผู้อำนวยการมูลนิธิยุวพัฒน์
อ่านต่อ »
ดูความคืบหน้าโครงการทั้งหมด

เรื่องเล่าจาก...น้องพงศ์

ผมอายุ 14 ปี เรียนโรงเรียนในจังหวัดชัยนาท แม่เล่าให้ฟังว่าเดิมครอบครัวผมเป็นคนจังหวัดสมุทรปราการ แต่แม่เป็นห่วงยาย ครอบครัวเราจึงย้ายมาอยู่ที่จังหวัดชัยนาทกับยาย แต่หลังจากนั้น 7 ปี เมื่อผมอายุ 3-4 ขวบ พ่อก็ทิ้งผมไป หลังจากนั้นครอบครัวเราลำบากมาก แม่ต้องร้อยพวงมาลัยขาย เพราะแม่เรียนแค่ ป.4 เริ่มแรกแม่ร้อยพวงมาลัยยังไม่เป็น ต้องซื้อของคนอื่นมาแกะดู ศึกษาวิธีการร้อยพวงมาลัยจนแม่ร้อยพวงมาลัยเป็น

ปกติแล้วแม่ ผมและน้อง จะร้อยพวงมาลัยส่งตามบ้าน บ้านหลังไหนสั่งเราก็จะไปส่งให้ แต่พอหลังๆ เขาซื้อกันน้อยลง ทำให้มีรายได้น้อยลง ไม่พอกับการกินอยู่ของครอบครัว แม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินคนอื่นมา การขายพวงมาลัยในวันก่อนวันโกน และวันโกนพวกเราจะต้องร้อยพวงมาลัยทั้งหมด 300 กว่าพวง ทำให้แม่ไม่ได้นอนทั้งคืน พอถึงเวลาตี 3 ผมจะต้องตื่นมาช่วยแม่ร้อยพวงมาลัยจนถึงตี 5 ก็นำไปขายที่หน้าวัดจนถึง 6 โมงเช้า หลังจากนั้นผมและน้องก็ต้องไปโรงเรียนต่อเป็นประจำ ทำให้พวกเราต้องอดทนเมื่อง่วงในเวลาเรียนโตขึ้นผมอยากเป็นทหาร ผมอยากเรียนหนังสือสูงๆ และหาเงินมาเลี้ยงแม่ครับ




เด็กคนนี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้ทุนการศึกษาเพื่อเรียนต่อในชั้น ม.2 จากคนใจดีในเทใจกันแล้ว แต่จะดีไหมที่เราจะทำให้เด็กเหล่านี้มีทุนเรียนต่อจนจบมัธยมปลาย หรือ สายอาชีพ เพื่อให้พวกเขาเหล่านี้ได้มีสินทรัพย์อันล้ำค่าในการดูแลตัวเอง ครอบครัว และสังคมไทยต่อไป

ประโยชน์ของโครงการ 

เงิน 600 บาท มีค่าแค่ไหนสำหรับคุณ?
สำหรับชีวิตของเด็กที่ขาดแคลน เงินจำนวนนี้ช่วยส่งให้เขาเรียนไปโรงเรียนต่อได้อีก 1 เดือน
ร่วมลงขันเพื่อมอบอนาคตให้กับพวกเขา ผ่านโครงการ "ส่งน้องเรียน สร้างเด็กดี" วันนี้

  • เพื่อที่เยาวชนไทยของเราจะได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานตามที่ควรจะเป็น
  • เพื่อที่เยาวชนไทยของเราจะเติบโตอย่างมีความรู้ควบคู่คุณธรรม 
  • เพื่อที่เยาวชนไทยของเราจะเป็นอนาคตของประเทศไทยได้อย่างแท้จริง

กิจกรรมที่จะดำเนินโครงการ 

การมีส่วนร่วมด้วยการบริจาคเงินของท่านจะทำให้มูลนิธิฯ สามารถขยายโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชนที่ขาดโอกาสได้ทั่วถึงมากขึ้น โดยมูลนิธิฯ จะคัดเลือกนักเรียนที่เหมาะสมจากทั่วประเทศเพื่อให้ทุนการศึกษาแบบต่อเนื่องและดูแลนักเรียนด้วยความเอาใจใส่ โดยจะส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนต่อจนจบมัธยม 6 ทั้งนี้ นักเรียนที่ได้รับคัดเลือกจะได้รับทุนการศึกษา ปีละ 7,000 บาท โดย 6 ปีใช้งบประมาณทั้งหมด 42,000 บาท

การคัดเลือกนักเรียนทุนในแต่ละปี มูลนิธิฯ จะดำเนินการร่วมกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาโดยมูลนิธิฯ จะเป็นผู้คัดเลือกนักเรียนทุนในรอบสุดท้าย ทั้งนี้ จะพิจารณาจากสภาพความเป็นอยู่ของครอบครัวและเรื่องราวชีวิตของนักเรียน 

ตลอดระยะเวลาของการเป็นนักเรียนทุนของมูลนิธิยุวพัฒน์ นักเรียนทุนจะได้รับการดูแลและปลูกฝังคุณธรรมจากมูลนิธิฯ ผ่านการเขียนจดหมายโต้ตอบ พูดคุยโทรศัพท์ เยี่ยมเยียนนักเรียนทุน และยุวพัฒน์สาส์น – วารสารราย 3 เดือนที่เปี่ยมด้วยเนื้อหาและคุณค่าสำหรับการพัฒนาตนเองให้เป็นคนดีมีความรู้รอบตัวและมีความรับผิดชอบต่อสังคม

ภาคี

จดหมายจากน้องพงศ์

2 กุมภาพันธ์ 2016

ถาม-ตอบ กรณีน้องพงค์จากยุวพัฒน์

4 กุมภาพันธ์ 2016

จากจดหมายความคืบหน้าของน้องพงศ์(นามสมมติ) และทางเจ้าของความคิดเห็นได้ตั้งคำถามนั้น เทใจส่งความคำถามถึงการแก้ไขปัญหาของเด็กที่เกิดขึ้น ทางมูลนิธิได้ชี้แจงมาเบื้องต้นดังนี้ค่ะ
 
"สำหรับเรื่องงานลูกเสือนี้ น้องไม่สามารถไปเองได้ค่ะ จะต้องเป็นอาจารย์ที่พาไปเสมอ แต่จะตรวจสอบให้ว่า เพราะเหตุใดอาจารย์จึงให้น้องไปทั้ง 3 งาน
 
ส่วนเรื่องการให้ทุนการศึกษาแก่น้องๆ ทุกคนนั้น มูลนิธิฯ ระบุว่า การใช้จ่ายนั้น น้องจะต้องใช้จ่ายกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเรียนเสมอ
ซึ่งจริงๆ แล้วค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเรียนนั้นมีหลากหลายค่ะ ตั้งแต่ ชุดนักเรียน รองเท้า ถุงเท้า กระเป๋า เครื่องเขียน ค่าทำรายงาน
ค่ารถโดยสารไปโรงเรียน ค่าอาหารกลางวันที่โรงเรียน ค่าตัดแว่น (ในกรณีที่น้องสายตาสั้น) หรือ ค่าอื่นๆ ที่โรงเรียนเรียกเก็บเพิ่มเติม (แล้วแต่โรงเรียน) ไม่ว่าจะเป็นค่าบำรุง ค่าครูต่างชาติ ค่าห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ค่าทัศนศึกษา ฯลฯ
 
อยากชี้แจงให้ผู้บริจาคทุกท่านทราบว่าสำหรับเด็กๆ ที่มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้เรียนต่อมัธยมนั้น ส่วนใหญ่แล้ว ปัญหาก็คือทางบ้านยากจน และ เห็นว่าค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการไปโรงเรียนในแต่ละวันจะสูงขึ้นจากชั้นประถม
เนื่องจากต้องมีทั้งค่ารถโดยสารและค่าอาหารกลางวัน (เทียบกับเมื่อเรียนประถมที่ค่าอาหารกลางวันจะฟรี และ โรงเรียนจะอยู่ใกล้บ้าน) และ ค่าใช้จ่ายก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามชั้นเรียนที่สูงขึ้นค่ะ
 
การได้รับทุนการศึกษาจะช่วยให้ผู้ปกครองของเด็กๆ เหล่านี้รู้สึกว่า ยังให้น้องเรียนต่อมัธยมได้ค่ะ แทนที่จะให้น้องออกจากการเรียน"
 
 ขอบคุณค่ะ
ผู้อำนวยการมูลนิธิยุวพัฒน์

ไม่มีข้อมูล